วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

จริงหรือไม่? ปิดแอร์รถช่วยประหยัดน้ำมัน? ไขข้อสงสัยเรื่องการใช้น้ำมันเมื่อน้ำมันเหลือน้อย

การปิดแอร์ขณะขับรถนั้นช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงครับ ไม่ว่าน้ำมันจะเหลือน้อยหรือไม่ก็ตาม

เหตุผลคือ:

  • แอร์กินกำลังเครื่องยนต์: ระบบปรับอากาศในรถยนต์ทำงานโดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อเปิดแอร์ เครื่องยนต์จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปั่นคอมเพรสเซอร์แอร์ ทำให้มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
  • ภาระที่ลดลง: เมื่อปิดแอร์ ภาระของเครื่องยนต์จะลดลง ส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเท่าเดิม และใช้น้ำมันน้อยลง

แล้วทำไมถึงมีคนสงสัยเรื่องน้ำมันใกล้หมด?

อาจเป็นเพราะว่าเมื่อน้ำมันเหลือน้อย คนจะเริ่มมองหาวิธีประหยัดน้ำมันทุกวิถีทางมากขึ้นเป็นพิเศษครับ ทำให้ความเชื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่น้ำมันใกล้หมด

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:

  • ความเร็วและสภาพการขับขี่: การประหยัดน้ำมันจากการปิดแอร์จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำในเมือง หากขับขี่ด้วยความเร็วสูง การเปิดกระจกอาจสร้างแรงต้านอากาศ (Aerodynamic drag) ซึ่งอาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าการเปิดแอร์เสียอีก
  • สภาพอากาศ: ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด การปิดแอร์อาจทำให้รู้สึกไม่สบายและส่งผลต่อสมาธิในการขับขี่ ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ความปลอดภัยควรมาเป็นอันดับแรกเสมอ
  • ประสิทธิภาพของรถยนต์: รถยนต์รุ่นใหม่บางรุ่นอาจมีระบบจัดการพลังงานที่ดีกว่า ทำให้ผลของการปิดแอร์ต่อการประหยัดน้ำมันอาจไม่ชัดเจนเท่ารถยนต์รุ่นเก่า

สรุป:

  • ปิดแอร์ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง ไม่ว่าน้ำมันจะเหลือน้อยหรือไม่ก็ตาม
  • ผลลัพธ์ของการประหยัดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเร็ว สภาพอากาศ และรุ่นรถยนต์
  • ความปลอดภัยและความสบายของผู้ขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้ก่อนตัดสินใจปิดแอร์

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2568

หน้าร้อนแอร์รถไม่เย็น? 5 สาเหตุยอดฮิต พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น

5 สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์รถไม่เย็นในหน้าร้อน:

  1. น้ำยาแอร์รั่วหรือหมด: ข้อนี้เป็นสาเหตุยอดฮิตเลยครับ ระบบแอร์เป็นระบบปิด ถ้าน้ำยาแอร์ลดลง แสดงว่าอาจมีการรั่วซึมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ข้อต่อ ท่อ หรืออุปกรณ์ภายใน หากน้ำยาแอร์เหลือน้อยหรือไม่เหลือเลย คอมเพรสเซอร์ก็จะไม่สามารถสร้างความเย็นได้เต็มที่ หรืออาจจะไม่ทำงานเลยก็ได้ครับ
  2. คอมเพรสเซอร์แอร์มีปัญหา: คอมเพรสเซอร์เปรียบเสมือนหัวใจของระบบแอร์ ทำหน้าที่อัดน้ำยาแอร์ให้มีความดันสูงเพื่อสร้างความเย็น หากคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่น กำลังอัดตก ลูกสูบสึกหรอ หรือคลัตช์ไม่จับ ก็จะทำให้แอร์ไม่เย็นครับ
  3. แผงระบายความร้อน (คอนเดนเซอร์) สกปรกหรืออุดตัน: คอนเดนเซอร์มีหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำยาแอร์ที่ถูกอัดมา หากมีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นละออง เศษใบไม้ หรือแมลง ไปอุดตันช่องระบายความร้อน จะทำให้การระบายความร้อนไม่ดี น้ำยาแอร์จึงไม่เย็นลงเท่าที่ควร
  4. พัดลมระบายความร้อน (หน้าแผงคอนเดนเซอร์) ไม่ทำงาน: พัดลมนี้ช่วยระบายความร้อนที่คอนเดนเซอร์อีกแรงหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อรถจอดอยู่กับที่ หากพัดลมไม่ทำงาน หรือทำงานช้าลง การระบายความร้อนก็จะแย่ลง ทำให้แอร์ไม่เย็นขณะรถติดหรือวิ่งช้าๆ
  5. กรองอากาศแอร์ตัน: กรองอากาศแอร์ทำหน้าที่กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ให้เข้าไปในระบบแอร์และห้องโดยสาร หากกรองแอร์ตัน จะทำให้ลมเย็นที่ออกมาจากช่องแอร์น้อยลง และอาจทำให้คอยล์เย็นเป็นน้ำแข็งได้ ซึ่งก็จะส่งผลให้แอร์ไม่เย็นเช่นกันครับ

นอกจาก 5 สาเหตุหลักนี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้แอร์รถไม่เย็นได้ เช่น วาล์วควบคุมน้ำยาแอร์เสีย, ท่อทางเดินน้ำยาแอร์อุดตัน, หรือระบบไฟฟ้าขัดข้อง เป็นต้นครับ

หากรถของคุณกำลังประสบปัญหาแอร์ไม่เย็นในหน้าร้อนนี้ การนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียด จะช่วยหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดครับ

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2568

ทำไมรถใหม่ป้ายแดง เลขไมล์ไม่เริ่มที่ 0 กม.?


ทำไมเลขไมล์ถึงไม่เริ่มที่ 0 กม. สาเหตุหลักๆ มีดังนี้ค่ะ

  • การเคลื่อนย้ายภายในโรงงานและลานจอด: หลังจากรถประกอบเสร็จ จะต้องมีการเคลื่อนย้ายภายในโรงงานไปยังส่วนต่างๆ เช่น แผนกตรวจสอบคุณภาพ หรือลานจอดเพื่อรอการขนส่ง ซึ่งในระหว่างนี้เลขไมล์ก็จะเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย
  • การขนส่ง: รถยนต์ใหม่จะถูกขนส่งโดยรถเทรลเลอร์ไปยังศูนย์จำหน่ายทั่วประเทศ การขึ้นลงรถเทรลเลอร์และการขับเคลื่อนบนรถเทรลเลอร์เองก็ทำให้เลขไมล์เพิ่มขึ้นได้
  • การตรวจสอบคุณภาพ: ก่อนส่งมอบรถให้ลูกค้า ศูนย์จำหน่ายจะมีการตรวจสอบสภาพรถขั้นสุดท้าย เช่น ระบบเครื่องยนต์ ระบบเบรก ระบบไฟส่องสว่าง ซึ่งอาจต้องมีการสตาร์ทเครื่องยนต์และขับเคลื่อนรถในระยะสั้นๆ
  • การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม: ในบางครั้ง ศูนย์จำหน่ายอาจติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมตามความต้องการของลูกค้า เช่น ฟิล์มกรองแสง หรืออุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ ซึ่งอาจต้องมีการเคลื่อนย้ายรถ
  • การขับขี่ภายในศูนย์: พนักงานขายหรือช่างเทคนิคอาจต้องขับรถเพื่อนำไปจอดในตำแหน่งที่สะดวกต่อการส่งมอบ หรือเพื่อทำความสะอาด

แล้วเลขไมล์เท่าไหร่ถึงจะถือว่าปกติ?

โดยทั่วไปแล้ว รถใหม่ป้ายแดงที่มีเลขไมล์ไม่เกิน 50 กิโลเมตร ถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ หากเลขไมล์สูงกว่านี้ ควรสอบถามเหตุผลจากพนักงานขายเพื่อความสบายใจ

สิ่งที่ควรสังเกต:

  • หากเลขไมล์สูงผิดปกติ (เช่น เกิน 100 กิโลเมตร) ควรสอบถามถึงสาเหตุและขอตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด
  • สังเกตสภาพโดยรวมของรถว่าสมบูรณ์เหมือนใหม่หรือไม่

ซื้อรถมือสอง เลขไมล์เท่าไหร่ถึงคุ้มค่า? เคล็ดลับเลือกซื้อให้ได้รถดี ราคาโดน

เรื่องการเลือกรถมือสองกับเลขไมล์รถมือสองเป็นประเด็นสำคัญที่คนให้ความสนใจมากทีเดียวค่ะ เพื่อให้ได้รถที่คุ้มค่าและใช้งานได้อีกนาน เรามาดูกันว่าโดยทั่วไปแล้ว เลขไมล์ที่ไม่ควรเกินเท่าไหร่ถึงจะน่าสนใจนะคะ

โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์มือสองที่มีเลขไมล์ไม่เกิน 100,000 - 150,000 กิโลเมตร ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? มีหลายเหตุผลเลยค่ะ:

  • อายุการใช้งาน: รถยนต์ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้ใช้งานได้ดีในช่วง 100,000 - 200,000 กิโลเมตรแรก หากเลขไมล์ยังไม่สูงมาก ก็หมายความว่าเครื่องยนต์และชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ยังมีอายุการใช้งานเหลืออยู่พอสมควร
  • สภาพเครื่องยนต์และเกียร์: รถที่เลขไมล์น้อย มักจะมีสภาพเครื่องยนต์และระบบเกียร์ที่ดีกว่ารถที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วง
  • ค่าบำรุงรักษาในอนาคต: โดยทั่วไปแล้ว รถที่เลขไมล์สูง มักจะเริ่มมีค่าบำรุงรักษาที่ตามมามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ หรือปัญหาที่เกิดจากการสึกหรอ
  • ราคาขายต่อ: รถที่มีเลขไมล์น้อย มักจะมีราคาขายต่อที่ดีกว่าในอนาคต หากคุณต้องการเปลี่ยนรถในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 100,000 - 150,000 กิโลเมตรนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้นนะคะ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วยค่ะ:

  • อายุของรถ: รถที่มีอายุมากแต่เลขไมล์น้อย อาจไม่ได้หมายความว่าสภาพจะดีเสมอไป เพราะชิ้นส่วนบางอย่างอาจเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เช่น พวกยาง ซีล หรือท่อต่างๆ
  • ประเภทของการใช้งาน: รถที่วิ่งในเมืองเป็นส่วนใหญ่ อาจมีสภาพสึกหรอมากกว่ารถที่วิ่งทางไกลถึงแม้เลขไมล์จะเท่ากัน เพราะการจราจรติดขัดทำให้มีการออกตัวและเบรกบ่อยครั้ง
  • ประวัติการบำรุงรักษา: สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเลขไมล์คือประวัติการบำรุงรักษา รถที่ได้รับการดูแลตามระยะอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้เลขไมล์จะสูงกว่าเล็กน้อย ก็อาจจะอยู่ในสภาพที่ดีกว่ารถที่เลขไมล์น้อยแต่ไม่เคยดูแลรักษาเลย
  • สภาพโดยรวมของรถ: การตรวจสอบสภาพภายนอก ภายในห้องโดยสาร และลองขับรถจริง จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของรถได้ดีกว่าดูแค่เลขไมล์

คำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกรถมือสอง:

  • ตรวจสอบประวัติรถ: ขอดูสมุดคู่มือการบำรุงรักษา หรือสอบถามประวัติจากศูนย์บริการ (ถ้าเป็นไปได้) เพื่อดูว่ารถได้รับการดูแลมาอย่างไร
  • ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด: ดูทั้งภายนอก ภายใน เครื่องยนต์ ช่วงล่าง และระบบไฟฟ้าต่างๆ หากไม่มั่นใจ ควรพาช่างผู้ชำนาญไปด้วย
  • ทดลองขับ: ลองขับรถในสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อดูว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่
  • เปรียบเทียบราคา: ศึกษาและเปรียบเทียบราคารถรุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน และเลขไมล์ใกล้เคียงกันจากหลายๆ แหล่ง

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568

เช็ครถก่อนสงกรานต์ ขับรถปลอดภัยทั้งครอบครัว

 


6 จุดที่ต้องเช็กรถก่อนขับทางไกลช่วงสงกรานต์ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ได้แก่:

  1. ของเหลวในห้องเครื่องยนต์: ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำยาหล่อเย็น, น้ำมันเบรก, น้ำกลั่นแบตเตอรี่ และน้ำมันพาวเวอร์ (ถ้ามี) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ต่ำหรือสูงเกินไป และสังเกตว่ามีสีหรือกลิ่นผิดปกติหรือไม่ หากใกล้ถึงกำหนดเปลี่ยนถ่าย ควรนำรถไปเข้ารับบริการก่อนเดินทาง
  2. สภาพยางและลมยาง: ตรวจสอบสภาพยางว่าไม่มีรอยแตกร้าว บวม หรือสึกผิดปกติ รวมถึงความลึกของดอกยางต้องไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร และเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด ซึ่งสามารถดูได้จากสติกเกอร์บริเวณเสาประตูฝั่งคนขับ หากบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระเต็มคัน ควรเพิ่มแรงดันลมยางล้อหลังอีก 3-5 ปอนด์
  3. ไฟส่องสว่างรอบคัน: ตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก และไฟตัดหมอก ให้สว่างครบทุกดวง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หากเป็นหลอดไส้ที่เปลี่ยนเองได้ ควรตรวจสอบให้พร้อมใช้งาน
  4. ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก: ตรวจสอบยางปัดน้ำฝนว่ายังปัดสะอาดหมดจดหรือไม่ หากปัดแล้วยังไม่สะอาด หรือมีรอยขาด ควรเปลี่ยนใหม่ และเติมน้ำฉีดล้างกระจกให้เต็ม
  5. ความผิดปกติต่างๆ: สังเกตสัญญาณไฟเตือนบนหน้าปัด โดยเฉพาะไฟรูปเครื่องยนต์ หากมีไฟเตือนควรรีบตรวจสอบและแก้ไขก่อนเดินทาง นอกจากนี้ ให้ฟังเสียงเครื่องยนต์และช่วงล่างว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่
  6. เอกสารติดรถที่จำเป็น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถ, กรมธรรม์ประกันภัย, พ.ร.บ. และเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็นติดรถ และตรวจสอบวันหมดอายุของเอกสารต่างๆ ด้วย

การตรวจเช็ครถยนต์อย่างละเอียดก่อนออกเดินทางไกล จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้การเดินทางช่วงสงกรานต์เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

ไขข้อสงสัย รถเสียหายจากแผ่นดินไหว เคลมประกันได้จริงหรือ?

 โดยทั่วไปแล้ว ประกันภัยรถยนต์จะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากแผ่นดินไหว ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยที่คุณมี:

  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1: โดยส่วนมากจะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ รวมถึงแผ่นดินไหว โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะครอบคลุมความเสียหายต่อตัวรถยนต์โดยตรง หรือความเสียหายที่เกิดจากสิ่งอื่นมากระทบ เช่น กำแพงล้มทับ หรือเศษวัสดุหล่นใส่
  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+, 3+: โดยทั่วไปแล้วจะไม่คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ รวมถึงแผ่นดินไหว แต่ บางบริษัทประกันภัยอาจมีแผนประกันเพิ่มเติม หรือซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มได้ ซึ่งคุณจะต้องตรวจสอบในกรมธรรม์ของคุณว่ามีความคุ้มครองในส่วนนี้หรือไม่
  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2, 3: โดยทั่วไปแล้วจะไม่ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้องตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของคุณอย่างละเอียด ว่ามีเงื่อนไขความคุ้มครองความเสียหายจากแผ่นดินไหวหรือไม่

หากกรมธรรม์ของคุณให้ความคุ้มครองความเสียหายจากแผ่นดินไหว คุณสามารถดำเนินการเคลมประกันได้ โดยมีขั้นตอนเบื้องต้นดังนี้:

  1. ตรวจสอบกรมธรรม์: ยืนยันว่ากรมธรรม์ของคุณคุ้มครองความเสียหายจากแผ่นดินไหว
  2. ถ่ายรูปความเสียหาย: บันทึกภาพความเสียหายของรถยนต์จากหลายๆ มุม เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเคลม
  3. ติดต่อบริษัทประกันภัย: แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทประกันภัยโดยเร็วที่สุด ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ และรายละเอียดความเสียหาย
  4. ยื่นเอกสาร: เตรียมเอกสารที่บริษัทประกันภัยร้องขอ เช่น สำเนาทะเบียนรถ สำเนาใบขับขี่ สำเนาบัตรประชาชน และกรมธรรม์ประกันภัย
  5. รอการตรวจสอบ: บริษัทประกันภัยจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความเสียหายและประเมินค่าซ่อมแซม
  6. ดำเนินการซ่อมแซม: นำรถเข้าซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทประกันภัย หรืออู่ที่คุณเลือก (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์)

ข้อควรจำ:

  • ควรรีบแจ้งบริษัทประกันภัยทันทีที่ทราบความเสียหาย
  • เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเสียหาย
  • ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของบริษัทประกันภัย

หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับความคุ้มครองในกรมธรรม์ของคุณ หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรติดต่อบริษัทประกันภัยหรือตัวแทนประกันภัยที่คุณทำสัญญาไว้โดยตรง เพื่อขอข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนที่สุดครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2568

ทำไมรถน้ำมันยังครองตลาด แม้ EV ราคาลด

แม้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะลดลง แต่ทำไมรถน้ำมันยังครองตลาด

ถึงแม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะปรับลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็ยังคงครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ เหตุผลหลักๆ ที่ผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อรถยนต์น้ำมันมีดังนี้:

  • ความคุ้นเคย:
    • ผู้คนคุ้นเคยกับรถยนต์น้ำมันมานาน ทำให้มั่นใจในระบบและการบำรุงรักษา
    • รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังต้องการเวลาในการสร้างความคุ้นเคย
  • ความกังวลเรื่องการชาร์จ:
    • ระยะเวลาในการชาร์จ EV ยังนานกว่าการเติมน้ำมัน
    • สถานีชาร์จสาธารณะยังมีจำนวนจำกัด ทำให้กังวลเรื่องการเดินทางไกล
  • ความกังวลเกี่ยวกับอนาคต:
    • ผู้บริโภคกังวลเรื่องอายุแบตเตอรี่, ราคาอะไหล่, และศูนย์บริการในระยะยาว
    • คนส่วนใหญ่ใช้รถยนต์นาน 7-10 ปี ทำให้ความทนทานเป็นปัจจัยสำคัญ
  • ความเชื่อมั่นในแบรนด์:
    • ในไทย, แบรนด์ญี่ปุ่นยังคงได้รับความนิยมสูงด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย
    • รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากแบรนด์จีน ซึ่งอาจยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นเท่าที่ควร
  • ความคุ้มค่าระยะยาว:
    • ผู้บริโภคพิจารณาค่าประกัน, ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่, และราคาขายต่อ
    • ปัญหาด้านการรองรับอะไหล่ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนบางราย ทำให้เสียโอกาสในการใช้รถอย่างที่ควรจะเป็น

แนวโน้มในอนาคต:

  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตและเทคโนโลยีกำลังพัฒนา
  • เมื่อสถานีชาร์จเพิ่มขึ้น, ราคาแบตเตอรี่ลดลง, และผู้บริโภคคุ้นเคยมากขึ้น, EV อาจเป็นตัวเลือกหลัก

จริงหรือไม่? ปิดแอร์รถช่วยประหยัดน้ำมัน? ไขข้อสงสัยเรื่องการใช้น้ำมันเมื่อน้ำมันเหลือน้อย

การ ปิดแอร์ขณะขับรถนั้นช่วยประหยัดน้ำมัน ได้จริงครับ ไม่ว่าน้ำมันจะเหลือน้อยหรือไม่ก็ตาม เหตุผลคือ: แอร์กินกำลังเครื่องยนต์: ระบบปรับอากา...