วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ยางสปอร์ต VS ยางรถทั่วไป: เลือกแบบไหนดีที่สุดสำหรับรถของคุณ

ยางสปอร์ต (Sport Tires) คือ ยางรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้มีสมรรถนะสูง เหมาะสำหรับการขับขี่ที่เน้นความเร็วและการยึดเกาะถนนเป็นหลัก

ยางประเภทนี้จะมีความแตกต่างจากยางรถยนต์ทั่วไปในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่โดยตรง

ความแตกต่างระหว่างยางสปอร์ตกับยางรถทั่วไป

คุณสมบัติยางสปอร์ต (Sport Tires)ยางรถยนต์ทั่วไป (All-Season Tires)
ส่วนผสมเนื้อยาง (Compound)มีส่วนผสมที่นิ่มกว่า ทำให้เกาะถนนได้ดีเยี่ยมในทุกสภาพถนน ทั้งแห้งและเปียก แต่จะสึกหรอเร็วกว่ามีส่วนผสมที่แข็งกว่า เน้นความทนทาน และอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ดอกยาง (Tread Pattern)มีร่องยางน้อยหรือเล็กกว่า ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างยางกับพื้นผิวถนน ทำให้ยึดเกาะได้ดียิ่งขึ้นมีร่องยางที่ลึกและถี่กว่า เพื่อช่วยรีดน้ำและระบายน้ำได้ดี
แก้มยาง (Sidewall)มีความแข็งแรงและแน่นกว่า ช่วยให้การเข้าโค้งมีความแม่นยำ และตอบสนองต่อการเลี้ยวได้ทันทีมีความยืดหยุ่นกว่า เน้นความนุ่มนวลในการขับขี่ และซับแรงกระแทกได้ดีกว่า
อายุการใช้งานสั้นกว่า เนื่องจากเนื้อยางที่นิ่มกว่า และถูกออกแบบมาเพื่อสมรรถนะเป็นหลักยาวนานกว่า เนื่องจากเนื้อยางที่แข็งกว่า และเน้นความทนทานในการใช้งานประจำวัน

ยางสปอร์ตดีกว่ายางรถทั่วไปแค่ไหน?

หากคุณเป็นคนที่ชอบขับรถด้วยความเร็วสูง เข้าโค้งบ่อยๆ หรือต้องการสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่ ยางสปอร์ตจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่ายางรถทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะยางสปอร์ตช่วยให้:

  • เข้าโค้งได้มั่นใจมากขึ้น: ด้วยแก้มยางที่แข็งแรงทำให้รถนิ่งและตอบสนองได้ทันที

  • ควบคุมรถได้ดีขึ้น: เนื้อยางที่นุ่มและดอกยางที่ถูกออกแบบมาเพื่อการยึดเกาะโดยเฉพาะ ทำให้คุณรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับถนน

  • เบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ: เพิ่มระยะเบรกให้สั้นลง ทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยางสปอร์ตก็มีข้อจำกัดด้านความนุ่มนวลและอายุการใช้งานที่สั้นกว่ายางรถทั่วไป ทำให้ไม่เหมาะกับทุกคน หากคุณเน้นการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ความนุ่มสบาย หรือความคุ้มค่า ยางรถทั่วไปอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีทำใบขับขี่สากล 2568 เอกสารที่ต้องเตรียม ขั้นตอน และค่าใช้จ่ายครบจบ

  

การเตรียมเอกสารทำใบขับขี่สากลปี 2568

หากคุณต้องการทำใบขับขี่สากลในปี 2568 (พ.ศ. 2568) เพื่อใช้ขับรถในต่างประเทศ สิ่งที่คุณต้องเตรียมมีดังนี้:


เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ (สำหรับคนไทย)

  • หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับจริงและสำเนา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหนังสือเดินทางของคุณยังไม่หมดอายุ

  • บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงและสำเนา: ใช้ในการยืนยันตัวตน

  • ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล หรือ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลฉบับจริงและสำเนา: ใบขับขี่ที่คุณมีอยู่จะต้องเป็นชนิด 5 ปี หรือตลอดชีพเท่านั้น หากเป็นใบขับขี่ชั่วคราว (2 ปี) จะยังไม่สามารถทำใบขับขี่สากลได้

  • รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว: จำนวน 2 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ และไม่มีภาพสะท้อนจากแว่นตา

  • ค่าธรรมเนียม: 505 บาท


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • ใบขับขี่สากลมีอายุ 1 ปี: นับจากวันที่ออกให้ และไม่สามารถต่ออายุได้ ต้องทำใหม่เมื่อหมดอายุ

  • สามารถทำได้ที่: สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ

  • ต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง: ไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปทำแทนได้

  • ใบขับขี่สากลเป็นเหมือนเอกสารคู่กับใบขับขี่ไทย: ในการใช้งานที่ต่างประเทศ คุณยังคงต้องพกใบขับขี่ไทยฉบับจริงคู่กันไปด้วยเสมอ


ขั้นตอนการดำเนินการ

  1. ยื่นคำขอ: ติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งที่ต้องการทำใบขับขี่สากล

  2. ตรวจสอบเอกสาร: เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเอกสารที่คุณเตรียมมา

  3. ชำระค่าธรรมเนียม: ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด

  4. รอรับใบขับขี่สากล: เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับใบขับขี่สากล

ขับรถชนกรวยจราจร แบริเออร์ เสียค่าปรับเท่าไหร่?

 


การขับรถชนกรวยจราจรหรือแบริเออร์นั้น ไม่ได้มีค่าปรับที่ระบุไว้ชัดเจนในกฎหมายจราจรโดยตรงว่าต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเท่าใดครับ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลักษณะความเสียหายที่เกิดขึ้น

ข้อหาที่เป็นไปได้:

  • ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น (มาตรา 43 (4) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522): หากการชนเกิดจากการขับรถโดยประมาทหรือหวาดเสียว มีโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท

  • ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย (มาตรา 358 ประมวลกฎหมายอาญา): หากกรวยจราจรหรือแบริเออร์เป็นของหน่วยงานราชการหรือเอกชน และได้รับความเสียหายจากการชน ผู้ขับขี่อาจถูกแจ้งข้อหาทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุ (มาตรา 78 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522): หากผู้ขับขี่ชนแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ หรือไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถือว่ามีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สิ่งที่ควรทำหากเกิดเหตุการณ์:

  1. จอดรถในที่ปลอดภัย: หากเป็นไปได้และไม่มีอันตรายต่อการจราจร ควรจอดรถข้างทาง

  2. ตรวจสอบความเสียหาย: ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคุณและกรวย/แบริเออร์

  3. แจ้งเจ้าหน้าที่: โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทันที เพื่อมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ บันทึกข้อมูล และประเมินความเสียหาย

  4. ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง: ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเจ้าหน้าที่เพื่อประกอบการพิจารณา

สรุป:

แม้จะไม่มีค่าปรับตายตัวสำหรับการชนกรวยจราจรหรือแบริเออร์ แต่การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ข้อหาและความรับผิดชอบทางกฎหมายได้หลายอย่าง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย ดังนั้น ควรขับรถด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเสมอครับ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีเช็กใบสั่งจราจรออนไลน์ จ่ายค่าปรับครบจบในที่เดียว

 


ตรวจสอบใบสั่งออนไลน์และชำระค่าปรับได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ปัจจุบันการตรวจสอบใบสั่งและการชำระค่าปรับจราจรเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย ไม่ว่าคุณจะต้องการเช็กว่ามีใบสั่งค้างชำระกี่ใบ หรือต้องการจ่ายค่าปรับทันที ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย

1. ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ PTM E-Ticket

ระบบ PTM E-Ticket เป็นแพลตฟอร์มหลักที่พัฒนาโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ทุกที่ทุกเวลา

วิธีเช็ก:

  • เข้าเว็บไซต์ ptm.police.go.th

  • ลงทะเบียน/เข้าสู่ระบบ: หากยังไม่มีบัญชี ให้ลงทะเบียนโดยใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน หรือเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีที่คุณมีอยู่

  • ตรวจสอบใบสั่ง: เลือกเมนู "ตรวจสอบใบสั่ง" หรือ "ค้นหาใบสั่ง"

  • กรอกข้อมูล: ป้อนข้อมูลที่จำเป็น เช่น เลขที่ใบสั่ง (ถ้ามี), เลขทะเบียนรถ, หรือเลขบัตรประชาชน

  • ผลการค้นหา: ระบบจะแสดงรายการใบสั่งค้างชำระทั้งหมด พร้อมรายละเอียด เช่น วันที่กระทำผิด, ข้อหา, สถานที่, และจำนวนเงินค่าปรับ

2. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT

สำหรับผู้ที่ใช้แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ของธนาคารกรุงไทยอยู่แล้ว สามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้โดยตรงในแอปฯ

วิธีเช็กและชำระ:

  • เปิดแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT

  • เลือกเมนู "จ่ายบิล" หรือ "จ่ายค่าปรับ"

  • ค้นหา "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" หรือ "ค่าปรับจราจร"

  • กรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เลขทะเบียนรถ หรือเลขบัตรประชาชน

  • ระบบจะแสดงใบสั่งที่ค้างชำระ และคุณสามารถเลือกชำระเงินได้ทันที

3. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

TrueMoney Wallet ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้คุณตรวจสอบและชำระค่าปรับได้สะดวก

วิธีเช็กและชำระ:

  • เปิดแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

  • เลือกเมนู "บิลและบริการ" หรือ "จ่ายบิล"

  • ค้นหา "ค่าปรับจราจร"

  • กรอกข้อมูลที่จำเป็น ระบบจะแสดงใบสั่งค้างชำระ และคุณสามารถชำระเงินได้

4. ตรวจสอบและชำระที่เคาน์เตอร์บริการ

หากไม่สะดวกใช้ช่องทางออนไลน์ คุณยังสามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ที่:

  • ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย

  • เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ

  • ที่ทำการไปรษณีย์ไทย

  • สถานีตำรวจ ทั่วประเทศ

ข้อควรรู้:

  • ใบสั่งจราจรที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ผ่านช่องทางเหล่านี้

  • การชำระค่าปรับออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานีตำรวจ

  • หากมีข้อสงสัยหรือไม่พบข้อมูลใบสั่ง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สถานีตำรวจท้องที่ หรือสายด่วน 1197 (ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร)

การตรวจสอบและชำระค่าปรับออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย ช่วยให้คุณสามารถจัดการเรื่องค่าปรับได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใบสั่งค้างชำระโดยไม่รู้ตัวอีกต่อไป

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กุญแจรถหาย เคลมประกันได้ไหม? รู้ก่อนเสียเงินทำใหม่

โดยทั่วไปแล้ว การเคลมประกันรถยนต์กรณีที่กุญแจรถหายนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณทำไว้ค่ะ

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1: โดยส่วนใหญ่ จะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายจากการถูกโจรกรรม ชิงทรัพย์ หรือลักทรัพย์ โดยคุณจะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วนำใบแจ้งความมายื่นเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำกุญแจรถใหม่ให้ค่ะ บางกรณี ประกันชั้น 1 อาจคุ้มครองกรณีที่กุญแจหายจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถใช้งานได้ด้วยค่ะ
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+: ประกันประเภทนี้ อาจจะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายพร้อมกับการถูกโจรกรรมรถยนต์ค่ะ คือถ้ารถหายไปด้วย กุญแจที่หายไปพร้อมรถก็จะเข้าข่ายการเคลมรถหาย ซึ่งประกันจะชดเชยตามทุนประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2, 3+, 3: โดยทั่วไปแล้ว จะไม่คุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายเพียงอย่างเดียวค่ะ ประกันเหล่านี้จะเน้นความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์และคู่กรณีเป็นหลัก

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าทำประกันชั้น 1 ไว้ และกุญแจหายจากการถูกขโมย หรือเป็นเหตุให้รถถูกขโมย คุณมีสิทธิ์เคลมประกันได้ค่ะ แต่ถ้ากุญแจหายด้วยความประมาทเลินเล่อส่วนตัว เช่น ทำตก หล่น หรือลืมไว้ ประกันส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครองค่ะ

สิ่งที่ควรทำเมื่อกุญแจรถหาย:

  1. ตั้งสติและลองค้นหาอย่างละเอียด ในบริเวณที่คุณคาดว่าจะทำหาย
  2. หากไม่พบ ให้รีบแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยเฉพาะกรณีที่คุณสงสัยว่าอาจถูกโจรกรรม
  3. ติดต่อบริษัทประกันภัยทันที เพื่อแจ้งเหตุการณ์และสอบถามถึงความคุ้มครองตามกรมธรรม์ของคุณ
  4. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งความ กรมธรรม์ประกันภัย สำเนาทะเบียนรถ และบัตรประชาชน เพื่อใช้ในการยื่นเคลม (หากเข้าข่ายความคุ้มครอง)
  5. หากประกันคุ้มครอง บริษัทประกันจะแนะนำขั้นตอนการดำเนินการทำกุญแจใหม่ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะให้คุณติดต่อศูนย์บริการของรถยนต์

ข้อควรระวัง: การทำกุญแจรถใหม่โดยไม่มีกุญแจสำรอง อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และอาจต้องมีการตั้งโปรแกรมกุญแจใหม่ด้วย ดังนั้นการเก็บรักษากุญแจรถให้ดีและมีกุญแจสำรองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

กุญแจรถแบตหมด สตาร์ทได้! วิธีง่ายๆ ที่คุณต้องรู้

ถึงกุญแจรถยนต์แบบสมาร์ทคีย์แบตหมด ก็ยังสามารถสตาร์ทรถได้อยู่ครับ เพียงแต่ขั้นตอนอาจจะแตกต่างจากการสตาร์ทด้วยกุญแจที่มีแบตเตอรี่เล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วจะมีวิธีดังนี้ครับ:

  1. ตรวจสอบคู่มือรถ: คู่มือรถของคุณจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดเสมอไป โดยจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดสำหรับการสตาร์ทรถในกรณีที่กุญแจแบตหมด และขั้นตอนที่ถูกต้องสำหรับรถยนต์รุ่นนั้นๆ

  2. หากุญแจสำรอง: หากคุณมีกุญแจสำรองที่ยังมีแบตเตอรี่อยู่ นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสตาร์ทรถ

  3. ใช้ช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน (ถ้ามี): รถยนต์บางรุ่นยังมีช่องเสียบกุญแจสำรองซ่อนอยู่ ซึ่งมักจะอยู่ในบริเวณคอพวงมาลัย หรือใต้แผงคอนโซล คุณสามารถดึงกุญแจกลที่ซ่อนอยู่ออกจากตัวรีโมท และนำไปเสียบเพื่อสตาร์ทรถได้

  4. แตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท: ในรถยนต์หลายๆ รุ่นที่ไม่มีช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน คุณสามารถนำด้านใดด้านหนึ่งของรีโมทไปแตะกับปุ่มสตาร์ทโดยตรง จากนั้นกดปุ่มสตาร์ทตามปกติ ระบบจะสามารถอ่านชิพในกุญแจได้ในระยะใกล้ๆ และทำให้รถสตาร์ทติด

  5. สังเกตสัญญาณไฟ: เมื่อคุณแตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท ให้สังเกตสัญญาณไฟบนแผงหน้าปัด หากไฟแสดงว่าระบบอ่านกุญแจได้แล้ว คุณก็จะสามารถสตาร์ทรถได้

ข้อควรจำ:

  • ตำแหน่งของช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน หรือบริเวณที่ต้องแตะรีโมท อาจแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ การตรวจสอบคู่มือรถจึงสำคัญมาก
  • เมื่อสตาร์ทรถได้แล้ว ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่กุญแจโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การใช้งานในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างสะดวก

แผ่นป้ายหมายเลขกุญแจรถ: คู่มือสำคัญที่คุณต้องรู้

แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถยนต์มักจะมี รหัสกุญแจ (Key Code) สลักอยู่

รหัสกุญแจคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

  • ใช้สำหรับทำสำเนากุญแจ: หากคุณทำกุญแจรถหาย การมีรหัสกุญแจจะช่วยให้คุณสามารถทำสำเนากุญแจใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดล็อกทั้งระบบ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก
  • ช่วยในการสั่งซื้อกุญแจจากผู้ผลิต: หากคุณต้องการสั่งซื้อกุญแจใหม่จากศูนย์บริการของรถยนต์ รหัสกุญแจจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาสามารถทำกุญแจที่ตรงกับรถของคุณได้
  • เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับช่างทำกุญแจ: หากคุณต้องการให้ช่างทำกุญแจทั่วไปทำสำเนาให้ รหัสกุญแจจะช่วยให้พวกเขาทราบถึงลักษณะการตัดฟันกุญแจที่ถูกต้อง

ข้อควรระวัง:

  • เก็บรักษารหัสกุญแจอย่างปลอดภัย: อย่าเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในรถ เนื่องจากหากรถถูกขโมย ผู้ที่ขโมยไปก็จะมีรหัสสำหรับทำสำเนากุญแจได้ง่าย
  • จดบันทึกรหัสกุญแจไว้ในที่ปลอดภัย: ถ่ายรูปหรือจดรหัสกุญแจเก็บไว้ในที่ที่คุณมั่นใจว่าจะไม่สูญหาย หรือเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัลที่ปลอดภัย
  • เมื่อได้กุญแจสำรองแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายโลหะไว้ในที่ปลอดภัย: เมื่อคุณทำสำเนากุญแจเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในที่ปลอดภัยเช่นเดิม เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการทำสำเนาในอนาคต

ดังนั้น แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถจึงเป็นสิ่งสำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากในการทำสำเนากุญแจในกรณีที่จำเป็น คุณควรรักษาและเก็บรักษารหัสนี้ไว้อย่างดี

ยางสปอร์ต VS ยางรถทั่วไป: เลือกแบบไหนดีที่สุดสำหรับรถของคุณ

ยางสปอร์ต (Sport Tires) คือ ยางรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้มีสมรรถนะสูง เหมาะสำหรับการขับขี่ที่เน้นความเร็วและการยึดเกาะถนนเป็นหลั...