วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีทำใบขับขี่สากล 2568 เอกสารที่ต้องเตรียม ขั้นตอน และค่าใช้จ่ายครบจบ

  

การเตรียมเอกสารทำใบขับขี่สากลปี 2568

หากคุณต้องการทำใบขับขี่สากลในปี 2568 (พ.ศ. 2568) เพื่อใช้ขับรถในต่างประเทศ สิ่งที่คุณต้องเตรียมมีดังนี้:


เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ (สำหรับคนไทย)

  • หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับจริงและสำเนา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหนังสือเดินทางของคุณยังไม่หมดอายุ

  • บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงและสำเนา: ใช้ในการยืนยันตัวตน

  • ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล หรือ ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลฉบับจริงและสำเนา: ใบขับขี่ที่คุณมีอยู่จะต้องเป็นชนิด 5 ปี หรือตลอดชีพเท่านั้น หากเป็นใบขับขี่ชั่วคราว (2 ปี) จะยังไม่สามารถทำใบขับขี่สากลได้

  • รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว: จำนวน 2 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำ และไม่มีภาพสะท้อนจากแว่นตา

  • ค่าธรรมเนียม: 505 บาท


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • ใบขับขี่สากลมีอายุ 1 ปี: นับจากวันที่ออกให้ และไม่สามารถต่ออายุได้ ต้องทำใหม่เมื่อหมดอายุ

  • สามารถทำได้ที่: สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ

  • ต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง: ไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปทำแทนได้

  • ใบขับขี่สากลเป็นเหมือนเอกสารคู่กับใบขับขี่ไทย: ในการใช้งานที่ต่างประเทศ คุณยังคงต้องพกใบขับขี่ไทยฉบับจริงคู่กันไปด้วยเสมอ


ขั้นตอนการดำเนินการ

  1. ยื่นคำขอ: ติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งที่ต้องการทำใบขับขี่สากล

  2. ตรวจสอบเอกสาร: เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเอกสารที่คุณเตรียมมา

  3. ชำระค่าธรรมเนียม: ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด

  4. รอรับใบขับขี่สากล: เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับใบขับขี่สากล

ขับรถชนกรวยจราจร แบริเออร์ เสียค่าปรับเท่าไหร่?

 


การขับรถชนกรวยจราจรหรือแบริเออร์นั้น ไม่ได้มีค่าปรับที่ระบุไว้ชัดเจนในกฎหมายจราจรโดยตรงว่าต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเท่าใดครับ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลักษณะความเสียหายที่เกิดขึ้น

ข้อหาที่เป็นไปได้:

  • ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น (มาตรา 43 (4) พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522): หากการชนเกิดจากการขับรถโดยประมาทหรือหวาดเสียว มีโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท

  • ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย (มาตรา 358 ประมวลกฎหมายอาญา): หากกรวยจราจรหรือแบริเออร์เป็นของหน่วยงานราชการหรือเอกชน และได้รับความเสียหายจากการชน ผู้ขับขี่อาจถูกแจ้งข้อหาทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  • ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุ (มาตรา 78 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522): หากผู้ขับขี่ชนแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ หรือไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถือว่ามีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สิ่งที่ควรทำหากเกิดเหตุการณ์:

  1. จอดรถในที่ปลอดภัย: หากเป็นไปได้และไม่มีอันตรายต่อการจราจร ควรจอดรถข้างทาง

  2. ตรวจสอบความเสียหาย: ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคุณและกรวย/แบริเออร์

  3. แจ้งเจ้าหน้าที่: โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทันที เพื่อมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ บันทึกข้อมูล และประเมินความเสียหาย

  4. ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง: ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเจ้าหน้าที่เพื่อประกอบการพิจารณา

สรุป:

แม้จะไม่มีค่าปรับตายตัวสำหรับการชนกรวยจราจรหรือแบริเออร์ แต่การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ข้อหาและความรับผิดชอบทางกฎหมายได้หลายอย่าง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย ดังนั้น ควรขับรถด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเสมอครับ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีเช็กใบสั่งจราจรออนไลน์ จ่ายค่าปรับครบจบในที่เดียว

 


ตรวจสอบใบสั่งออนไลน์และชำระค่าปรับได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ปัจจุบันการตรวจสอบใบสั่งและการชำระค่าปรับจราจรเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย ไม่ว่าคุณจะต้องการเช็กว่ามีใบสั่งค้างชำระกี่ใบ หรือต้องการจ่ายค่าปรับทันที ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย

1. ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ PTM E-Ticket

ระบบ PTM E-Ticket เป็นแพลตฟอร์มหลักที่พัฒนาโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ทุกที่ทุกเวลา

วิธีเช็ก:

  • เข้าเว็บไซต์ ptm.police.go.th

  • ลงทะเบียน/เข้าสู่ระบบ: หากยังไม่มีบัญชี ให้ลงทะเบียนโดยใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน หรือเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีที่คุณมีอยู่

  • ตรวจสอบใบสั่ง: เลือกเมนู "ตรวจสอบใบสั่ง" หรือ "ค้นหาใบสั่ง"

  • กรอกข้อมูล: ป้อนข้อมูลที่จำเป็น เช่น เลขที่ใบสั่ง (ถ้ามี), เลขทะเบียนรถ, หรือเลขบัตรประชาชน

  • ผลการค้นหา: ระบบจะแสดงรายการใบสั่งค้างชำระทั้งหมด พร้อมรายละเอียด เช่น วันที่กระทำผิด, ข้อหา, สถานที่, และจำนวนเงินค่าปรับ

2. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT

สำหรับผู้ที่ใช้แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ของธนาคารกรุงไทยอยู่แล้ว สามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้โดยตรงในแอปฯ

วิธีเช็กและชำระ:

  • เปิดแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT

  • เลือกเมนู "จ่ายบิล" หรือ "จ่ายค่าปรับ"

  • ค้นหา "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" หรือ "ค่าปรับจราจร"

  • กรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เลขทะเบียนรถ หรือเลขบัตรประชาชน

  • ระบบจะแสดงใบสั่งที่ค้างชำระ และคุณสามารถเลือกชำระเงินได้ทันที

3. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

TrueMoney Wallet ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้คุณตรวจสอบและชำระค่าปรับได้สะดวก

วิธีเช็กและชำระ:

  • เปิดแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet

  • เลือกเมนู "บิลและบริการ" หรือ "จ่ายบิล"

  • ค้นหา "ค่าปรับจราจร"

  • กรอกข้อมูลที่จำเป็น ระบบจะแสดงใบสั่งค้างชำระ และคุณสามารถชำระเงินได้

4. ตรวจสอบและชำระที่เคาน์เตอร์บริการ

หากไม่สะดวกใช้ช่องทางออนไลน์ คุณยังสามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ที่:

  • ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย

  • เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ

  • ที่ทำการไปรษณีย์ไทย

  • สถานีตำรวจ ทั่วประเทศ

ข้อควรรู้:

  • ใบสั่งจราจรที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถตรวจสอบและชำระค่าปรับได้ผ่านช่องทางเหล่านี้

  • การชำระค่าปรับออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานีตำรวจ

  • หากมีข้อสงสัยหรือไม่พบข้อมูลใบสั่ง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สถานีตำรวจท้องที่ หรือสายด่วน 1197 (ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร)

การตรวจสอบและชำระค่าปรับออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย ช่วยให้คุณสามารถจัดการเรื่องค่าปรับได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใบสั่งค้างชำระโดยไม่รู้ตัวอีกต่อไป

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กุญแจรถหาย เคลมประกันได้ไหม? รู้ก่อนเสียเงินทำใหม่

โดยทั่วไปแล้ว การเคลมประกันรถยนต์กรณีที่กุญแจรถหายนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณทำไว้ค่ะ

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1: โดยส่วนใหญ่ จะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายจากการถูกโจรกรรม ชิงทรัพย์ หรือลักทรัพย์ โดยคุณจะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วนำใบแจ้งความมายื่นเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำกุญแจรถใหม่ให้ค่ะ บางกรณี ประกันชั้น 1 อาจคุ้มครองกรณีที่กุญแจหายจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถใช้งานได้ด้วยค่ะ
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+: ประกันประเภทนี้ อาจจะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายพร้อมกับการถูกโจรกรรมรถยนต์ค่ะ คือถ้ารถหายไปด้วย กุญแจที่หายไปพร้อมรถก็จะเข้าข่ายการเคลมรถหาย ซึ่งประกันจะชดเชยตามทุนประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2, 3+, 3: โดยทั่วไปแล้ว จะไม่คุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายเพียงอย่างเดียวค่ะ ประกันเหล่านี้จะเน้นความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์และคู่กรณีเป็นหลัก

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าทำประกันชั้น 1 ไว้ และกุญแจหายจากการถูกขโมย หรือเป็นเหตุให้รถถูกขโมย คุณมีสิทธิ์เคลมประกันได้ค่ะ แต่ถ้ากุญแจหายด้วยความประมาทเลินเล่อส่วนตัว เช่น ทำตก หล่น หรือลืมไว้ ประกันส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครองค่ะ

สิ่งที่ควรทำเมื่อกุญแจรถหาย:

  1. ตั้งสติและลองค้นหาอย่างละเอียด ในบริเวณที่คุณคาดว่าจะทำหาย
  2. หากไม่พบ ให้รีบแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยเฉพาะกรณีที่คุณสงสัยว่าอาจถูกโจรกรรม
  3. ติดต่อบริษัทประกันภัยทันที เพื่อแจ้งเหตุการณ์และสอบถามถึงความคุ้มครองตามกรมธรรม์ของคุณ
  4. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งความ กรมธรรม์ประกันภัย สำเนาทะเบียนรถ และบัตรประชาชน เพื่อใช้ในการยื่นเคลม (หากเข้าข่ายความคุ้มครอง)
  5. หากประกันคุ้มครอง บริษัทประกันจะแนะนำขั้นตอนการดำเนินการทำกุญแจใหม่ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะให้คุณติดต่อศูนย์บริการของรถยนต์

ข้อควรระวัง: การทำกุญแจรถใหม่โดยไม่มีกุญแจสำรอง อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และอาจต้องมีการตั้งโปรแกรมกุญแจใหม่ด้วย ดังนั้นการเก็บรักษากุญแจรถให้ดีและมีกุญแจสำรองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

กุญแจรถแบตหมด สตาร์ทได้! วิธีง่ายๆ ที่คุณต้องรู้

ถึงกุญแจรถยนต์แบบสมาร์ทคีย์แบตหมด ก็ยังสามารถสตาร์ทรถได้อยู่ครับ เพียงแต่ขั้นตอนอาจจะแตกต่างจากการสตาร์ทด้วยกุญแจที่มีแบตเตอรี่เล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วจะมีวิธีดังนี้ครับ:

  1. ตรวจสอบคู่มือรถ: คู่มือรถของคุณจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดเสมอไป โดยจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดสำหรับการสตาร์ทรถในกรณีที่กุญแจแบตหมด และขั้นตอนที่ถูกต้องสำหรับรถยนต์รุ่นนั้นๆ

  2. หากุญแจสำรอง: หากคุณมีกุญแจสำรองที่ยังมีแบตเตอรี่อยู่ นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสตาร์ทรถ

  3. ใช้ช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน (ถ้ามี): รถยนต์บางรุ่นยังมีช่องเสียบกุญแจสำรองซ่อนอยู่ ซึ่งมักจะอยู่ในบริเวณคอพวงมาลัย หรือใต้แผงคอนโซล คุณสามารถดึงกุญแจกลที่ซ่อนอยู่ออกจากตัวรีโมท และนำไปเสียบเพื่อสตาร์ทรถได้

  4. แตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท: ในรถยนต์หลายๆ รุ่นที่ไม่มีช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน คุณสามารถนำด้านใดด้านหนึ่งของรีโมทไปแตะกับปุ่มสตาร์ทโดยตรง จากนั้นกดปุ่มสตาร์ทตามปกติ ระบบจะสามารถอ่านชิพในกุญแจได้ในระยะใกล้ๆ และทำให้รถสตาร์ทติด

  5. สังเกตสัญญาณไฟ: เมื่อคุณแตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท ให้สังเกตสัญญาณไฟบนแผงหน้าปัด หากไฟแสดงว่าระบบอ่านกุญแจได้แล้ว คุณก็จะสามารถสตาร์ทรถได้

ข้อควรจำ:

  • ตำแหน่งของช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน หรือบริเวณที่ต้องแตะรีโมท อาจแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ การตรวจสอบคู่มือรถจึงสำคัญมาก
  • เมื่อสตาร์ทรถได้แล้ว ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่กุญแจโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การใช้งานในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างสะดวก

แผ่นป้ายหมายเลขกุญแจรถ: คู่มือสำคัญที่คุณต้องรู้

แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถยนต์มักจะมี รหัสกุญแจ (Key Code) สลักอยู่

รหัสกุญแจคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

  • ใช้สำหรับทำสำเนากุญแจ: หากคุณทำกุญแจรถหาย การมีรหัสกุญแจจะช่วยให้คุณสามารถทำสำเนากุญแจใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดล็อกทั้งระบบ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก
  • ช่วยในการสั่งซื้อกุญแจจากผู้ผลิต: หากคุณต้องการสั่งซื้อกุญแจใหม่จากศูนย์บริการของรถยนต์ รหัสกุญแจจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาสามารถทำกุญแจที่ตรงกับรถของคุณได้
  • เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับช่างทำกุญแจ: หากคุณต้องการให้ช่างทำกุญแจทั่วไปทำสำเนาให้ รหัสกุญแจจะช่วยให้พวกเขาทราบถึงลักษณะการตัดฟันกุญแจที่ถูกต้อง

ข้อควรระวัง:

  • เก็บรักษารหัสกุญแจอย่างปลอดภัย: อย่าเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในรถ เนื่องจากหากรถถูกขโมย ผู้ที่ขโมยไปก็จะมีรหัสสำหรับทำสำเนากุญแจได้ง่าย
  • จดบันทึกรหัสกุญแจไว้ในที่ปลอดภัย: ถ่ายรูปหรือจดรหัสกุญแจเก็บไว้ในที่ที่คุณมั่นใจว่าจะไม่สูญหาย หรือเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัลที่ปลอดภัย
  • เมื่อได้กุญแจสำรองแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายโลหะไว้ในที่ปลอดภัย: เมื่อคุณทำสำเนากุญแจเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในที่ปลอดภัยเช่นเดิม เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการทำสำเนาในอนาคต

ดังนั้น แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถจึงเป็นสิ่งสำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากในการทำสำเนากุญแจในกรณีที่จำเป็น คุณควรรักษาและเก็บรักษารหัสนี้ไว้อย่างดี

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยางรถยนต์อยู่ได้กี่ปี? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีดูแลให้ใช้ได้นาน

ยางรถยนต์ 1 เส้นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี หรือระยะทางวิ่งประมาณ 40,000 - 50,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน

อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของยางรถยนต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหรือระยะทางเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของยางด้วย เช่น:

  • สภาพการใช้งาน: การขับขี่ในสภาพถนนที่ขรุขระ บรรทุกน้ำหนักมาก หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ จะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
  • การดูแลรักษา: การไม่เติมลมยางให้ถูกต้องสม่ำเสมอ การไม่สลับยาง หรือการปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบสภาพยาง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
  • สภาพแวดล้อม: อุณหภูมิที่สูง แสงแดดจัด และความชื้น ก็มีผลต่อการเสื่อมสภาพของเนื้อยาง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์แล้ว:

  • ยางมีอายุเกิน 5 ปี: แม้ดอกยางจะยังดูดีอยู่ แต่เนื้อยางจะเริ่มแข็งกระด้างและเสื่อมสภาพตามอายุ ทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนลดลง
  • ดอกยางสึกถึงสะพานยาง: บนหน้ายางจะมีสะพานยางเล็กๆ เป็นตัวบ่งชี้ หากดอกยางสึกเรียบเสมอกับสะพานยาง แสดงว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไป ไม่ปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะบนถนนเปียก
  • แก้มยางมีรอยแตกร้าว บวม หรือฉีกขาด: ร่องรอยเหล่านี้แสดงว่าโครงสร้างยางเสียหาย อาจนำไปสู่การระเบิดของยางได้
  • รถมีอาการสั่นผิดปกติ หรือควบคุมยาก: อาการเหล่านี้อาจเกิดจากยางเสื่อมสภาพ ไม่กลม หรือโครงสร้างภายในเสียหาย
  • เติมลมยางบ่อยกว่าปกติ: อาจเป็นสัญญาณว่ายางรั่วซึม หรือเนื้อยางไม่สามารถเก็บลมได้ดีเหมือนเดิม

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์เป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง รวมถึงก่อนและหลังการเดินทางไกล
  • ดูวันเดือนปีที่ผลิตของยาง (DOT Code) ที่แก้มยาง เพื่อประเมินอายุการใช้งาน
  • สลับยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ
  • เติมลมยางให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์หรือบริเวณขอบประตู
  • เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยาง ควรเลือกยางที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน

วิธีทำใบขับขี่สากล 2568 เอกสารที่ต้องเตรียม ขั้นตอน และค่าใช้จ่ายครบจบ

   การเตรียมเอกสารทำใบขับขี่สากลปี 2568 หากคุณต้องการทำ ใบขับขี่สากลในปี 2568 (พ.ศ. 2568) เพื่อใช้ขับรถในต่างประเทศ สิ่งที่คุณต้องเตรียมมีด...