วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กุญแจรถหาย เคลมประกันได้ไหม? รู้ก่อนเสียเงินทำใหม่

โดยทั่วไปแล้ว การเคลมประกันรถยนต์กรณีที่กุญแจรถหายนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณทำไว้ค่ะ

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1: โดยส่วนใหญ่ จะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายจากการถูกโจรกรรม ชิงทรัพย์ หรือลักทรัพย์ โดยคุณจะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วนำใบแจ้งความมายื่นเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำกุญแจรถใหม่ให้ค่ะ บางกรณี ประกันชั้น 1 อาจคุ้มครองกรณีที่กุญแจหายจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถใช้งานได้ด้วยค่ะ
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+: ประกันประเภทนี้ อาจจะคุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายพร้อมกับการถูกโจรกรรมรถยนต์ค่ะ คือถ้ารถหายไปด้วย กุญแจที่หายไปพร้อมรถก็จะเข้าข่ายการเคลมรถหาย ซึ่งประกันจะชดเชยตามทุนประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2, 3+, 3: โดยทั่วไปแล้ว จะไม่คุ้มครอง กรณีที่กุญแจรถหายเพียงอย่างเดียวค่ะ ประกันเหล่านี้จะเน้นความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์และคู่กรณีเป็นหลัก

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าทำประกันชั้น 1 ไว้ และกุญแจหายจากการถูกขโมย หรือเป็นเหตุให้รถถูกขโมย คุณมีสิทธิ์เคลมประกันได้ค่ะ แต่ถ้ากุญแจหายด้วยความประมาทเลินเล่อส่วนตัว เช่น ทำตก หล่น หรือลืมไว้ ประกันส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครองค่ะ

สิ่งที่ควรทำเมื่อกุญแจรถหาย:

  1. ตั้งสติและลองค้นหาอย่างละเอียด ในบริเวณที่คุณคาดว่าจะทำหาย
  2. หากไม่พบ ให้รีบแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยเฉพาะกรณีที่คุณสงสัยว่าอาจถูกโจรกรรม
  3. ติดต่อบริษัทประกันภัยทันที เพื่อแจ้งเหตุการณ์และสอบถามถึงความคุ้มครองตามกรมธรรม์ของคุณ
  4. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบแจ้งความ กรมธรรม์ประกันภัย สำเนาทะเบียนรถ และบัตรประชาชน เพื่อใช้ในการยื่นเคลม (หากเข้าข่ายความคุ้มครอง)
  5. หากประกันคุ้มครอง บริษัทประกันจะแนะนำขั้นตอนการดำเนินการทำกุญแจใหม่ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะให้คุณติดต่อศูนย์บริการของรถยนต์

ข้อควรระวัง: การทำกุญแจรถใหม่โดยไม่มีกุญแจสำรอง อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และอาจต้องมีการตั้งโปรแกรมกุญแจใหม่ด้วย ดังนั้นการเก็บรักษากุญแจรถให้ดีและมีกุญแจสำรองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

กุญแจรถแบตหมด สตาร์ทได้! วิธีง่ายๆ ที่คุณต้องรู้

ถึงกุญแจรถยนต์แบบสมาร์ทคีย์แบตหมด ก็ยังสามารถสตาร์ทรถได้อยู่ครับ เพียงแต่ขั้นตอนอาจจะแตกต่างจากการสตาร์ทด้วยกุญแจที่มีแบตเตอรี่เล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วจะมีวิธีดังนี้ครับ:

  1. ตรวจสอบคู่มือรถ: คู่มือรถของคุณจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดเสมอไป โดยจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดสำหรับการสตาร์ทรถในกรณีที่กุญแจแบตหมด และขั้นตอนที่ถูกต้องสำหรับรถยนต์รุ่นนั้นๆ

  2. หากุญแจสำรอง: หากคุณมีกุญแจสำรองที่ยังมีแบตเตอรี่อยู่ นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสตาร์ทรถ

  3. ใช้ช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน (ถ้ามี): รถยนต์บางรุ่นยังมีช่องเสียบกุญแจสำรองซ่อนอยู่ ซึ่งมักจะอยู่ในบริเวณคอพวงมาลัย หรือใต้แผงคอนโซล คุณสามารถดึงกุญแจกลที่ซ่อนอยู่ออกจากตัวรีโมท และนำไปเสียบเพื่อสตาร์ทรถได้

  4. แตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท: ในรถยนต์หลายๆ รุ่นที่ไม่มีช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน คุณสามารถนำด้านใดด้านหนึ่งของรีโมทไปแตะกับปุ่มสตาร์ทโดยตรง จากนั้นกดปุ่มสตาร์ทตามปกติ ระบบจะสามารถอ่านชิพในกุญแจได้ในระยะใกล้ๆ และทำให้รถสตาร์ทติด

  5. สังเกตสัญญาณไฟ: เมื่อคุณแตะรีโมทกับปุ่มสตาร์ท ให้สังเกตสัญญาณไฟบนแผงหน้าปัด หากไฟแสดงว่าระบบอ่านกุญแจได้แล้ว คุณก็จะสามารถสตาร์ทรถได้

ข้อควรจำ:

  • ตำแหน่งของช่องเสียบกุญแจฉุกเฉิน หรือบริเวณที่ต้องแตะรีโมท อาจแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ การตรวจสอบคู่มือรถจึงสำคัญมาก
  • เมื่อสตาร์ทรถได้แล้ว ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่กุญแจโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การใช้งานในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างสะดวก

แผ่นป้ายหมายเลขกุญแจรถ: คู่มือสำคัญที่คุณต้องรู้

แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถยนต์มักจะมี รหัสกุญแจ (Key Code) สลักอยู่

รหัสกุญแจคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

  • ใช้สำหรับทำสำเนากุญแจ: หากคุณทำกุญแจรถหาย การมีรหัสกุญแจจะช่วยให้คุณสามารถทำสำเนากุญแจใหม่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดล็อกทั้งระบบ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก
  • ช่วยในการสั่งซื้อกุญแจจากผู้ผลิต: หากคุณต้องการสั่งซื้อกุญแจใหม่จากศูนย์บริการของรถยนต์ รหัสกุญแจจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาสามารถทำกุญแจที่ตรงกับรถของคุณได้
  • เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับช่างทำกุญแจ: หากคุณต้องการให้ช่างทำกุญแจทั่วไปทำสำเนาให้ รหัสกุญแจจะช่วยให้พวกเขาทราบถึงลักษณะการตัดฟันกุญแจที่ถูกต้อง

ข้อควรระวัง:

  • เก็บรักษารหัสกุญแจอย่างปลอดภัย: อย่าเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในรถ เนื่องจากหากรถถูกขโมย ผู้ที่ขโมยไปก็จะมีรหัสสำหรับทำสำเนากุญแจได้ง่าย
  • จดบันทึกรหัสกุญแจไว้ในที่ปลอดภัย: ถ่ายรูปหรือจดรหัสกุญแจเก็บไว้ในที่ที่คุณมั่นใจว่าจะไม่สูญหาย หรือเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัลที่ปลอดภัย
  • เมื่อได้กุญแจสำรองแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายโลหะไว้ในที่ปลอดภัย: เมื่อคุณทำสำเนากุญแจเรียบร้อยแล้ว ควรเก็บแผ่นป้ายหมายเลขโลหะนี้ไว้ในที่ปลอดภัยเช่นเดิม เพื่อใช้ในกรณีที่ต้องการทำสำเนาในอนาคต

ดังนั้น แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถจึงเป็นสิ่งสำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากในการทำสำเนากุญแจในกรณีที่จำเป็น คุณควรรักษาและเก็บรักษารหัสนี้ไว้อย่างดี

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยางรถยนต์อยู่ได้กี่ปี? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีดูแลให้ใช้ได้นาน

ยางรถยนต์ 1 เส้นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี หรือระยะทางวิ่งประมาณ 40,000 - 50,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน

อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานของยางรถยนต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหรือระยะทางเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของยางด้วย เช่น:

  • สภาพการใช้งาน: การขับขี่ในสภาพถนนที่ขรุขระ บรรทุกน้ำหนักมาก หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ จะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
  • การดูแลรักษา: การไม่เติมลมยางให้ถูกต้องสม่ำเสมอ การไม่สลับยาง หรือการปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบสภาพยาง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
  • สภาพแวดล้อม: อุณหภูมิที่สูง แสงแดดจัด และความชื้น ก็มีผลต่อการเสื่อมสภาพของเนื้อยาง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์แล้ว:

  • ยางมีอายุเกิน 5 ปี: แม้ดอกยางจะยังดูดีอยู่ แต่เนื้อยางจะเริ่มแข็งกระด้างและเสื่อมสภาพตามอายุ ทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนลดลง
  • ดอกยางสึกถึงสะพานยาง: บนหน้ายางจะมีสะพานยางเล็กๆ เป็นตัวบ่งชี้ หากดอกยางสึกเรียบเสมอกับสะพานยาง แสดงว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไป ไม่ปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะบนถนนเปียก
  • แก้มยางมีรอยแตกร้าว บวม หรือฉีกขาด: ร่องรอยเหล่านี้แสดงว่าโครงสร้างยางเสียหาย อาจนำไปสู่การระเบิดของยางได้
  • รถมีอาการสั่นผิดปกติ หรือควบคุมยาก: อาการเหล่านี้อาจเกิดจากยางเสื่อมสภาพ ไม่กลม หรือโครงสร้างภายในเสียหาย
  • เติมลมยางบ่อยกว่าปกติ: อาจเป็นสัญญาณว่ายางรั่วซึม หรือเนื้อยางไม่สามารถเก็บลมได้ดีเหมือนเดิม

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์เป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง รวมถึงก่อนและหลังการเดินทางไกล
  • ดูวันเดือนปีที่ผลิตของยาง (DOT Code) ที่แก้มยาง เพื่อประเมินอายุการใช้งาน
  • สลับยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ
  • เติมลมยางให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์หรือบริเวณขอบประตู
  • เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยาง ควรเลือกยางที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

รู้หรือไม่? ปุ่มเล็กๆ บนเข็มขัดนิรภัย สำคัญกว่าที่คุณคิด

ลองนึกภาพถ้าไม่มีปุ่มนี้ เวลาคุณไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย หัวเข็มขัดก็จะเลื่อนลงไปกองอยู่ที่พื้น ทำให้คุณต้องก้มลงไปควานหาทุกครั้งที่จะคาดเข็มขัด ปุ่มเล็กๆ นี้จึงช่วยให้หัวเข็มขัดอยู่ในตำแหน่งที่หยิบจับได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว

นอกจากนี้ ในรถยนต์บางรุ่น อาจมีปุ่มนี้มากกว่าหนึ่งปุ่ม โดยอีกปุ่มหนึ่งจะอยู่ใกล้กับส่วนบนของสายเข็มขัด เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนที่เป็นโลหะเลื่อนขึ้นไปใกล้กับไหล่มากเกินไป

ถึงแม้จะเป็นเพียงปุ่มเล็กๆ แต่ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้งานเข็มขัดนิรภัยได้มากเลยทีเดียวค่ะ

ไขความลับตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถยนต์ รู้ความหมาย ไม่สุ่ม แถมมีตัวห้ามใช้

เรื่องความหมายของตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากทีเดียวค่ะ ไม่ได้มาจากการสุ่มอย่างแน่นอน และยังมีข้อกำหนดว่าตัวอักษรบางตัวห้ามนำมาใช้ด้วยเหตุผลหลายประการ

ความหมายของตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ในปัจจุบัน):

  • ตัวอักษรตัวแรก: บ่งบอกถึงประเภทของรถยนต์ เช่น

    • ก: รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรดำ)
    • ข: รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรน้ำเงิน)
    • ค: รถยนต์บรรทุกขนาดสี่ล้อเล็ก (ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรเขียว)
    • ง: รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล (ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรแดง)
    • จ: รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ป้ายพื้นขาว ตัวอักษรดำ)
    • และยังมีตัวอักษรอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเภทรถที่แตกต่างกันไป เช่น รถยนต์รับจ้าง, รถยนต์ให้เช่า, รถยนต์ของหน่วยงานราชการ เป็นต้น
  • ตัวอักษรตัวที่สอง: มักจะมีความหมายที่เชื่อมโยงกับจังหวัดที่จดทะเบียนรถยนต์ในอดีต (ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพื่อให้มีเลขทะเบียนเพียงพอ) เช่น

    • กท: กรุงเทพมหานคร
    • ชม: เชียงใหม่
    • บร: บุรีรัมย์
    • ชบ: ชลบุรี
    • เป็นต้น
  • ตัวอักษรสองตัวสุดท้าย: ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว มักจะเป็นตัวอักษรที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเพิ่มจำนวนเลขทะเบียนให้เพียงพอต่อการใช้งาน

ตัวอักษรที่ห้ามใช้บนป้ายทะเบียนรถ:

มีตัวอักษรบางตัวที่ถูกกำหนดไว้ว่าห้ามนำมาใช้ในการประมูลหรือใช้ทั่วไปบนป้ายทะเบียนรถ เนื่องจากเหตุผลต่างๆ ดังนี้:

  • ตัวอักษรที่มีลักษณะคล้ายตัวเลข: เช่น "ญ" (คล้ายเลข 3), "ฎ" (คล้ายเลข 8), "บ" (คล้ายเลข 8), "ศ" (คล้ายเลข 5), "ษ" (คล้ายเลข 5), "ส" (คล้ายเลข 5) เพื่อป้องกันความสับสนในการจดจำและการตรวจสอบ
  • ตัวอักษรที่มีความหมายไม่เหมาะสม หรืออาจสื่อไปในทางลบ: ถึงแม้จะไม่มีการระบุอย่างชัดเจน แต่กรมการขนส่งทางบกจะพิจารณาความเหมาะสมของตัวอักษรที่นำมาใช้ในการประมูลเป็นกรณีไป เพื่อหลีกเลี่ยงคำหรือตัวอักษรที่อาจดูหมิ่นผู้อื่น หรือมีความหมายที่ไม่เป็นมงคล

ความสำคัญของการรู้ความหมาย:

การทราบความหมายของตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถช่วยให้เราเข้าใจถึงประเภทของรถยนต์ และในอดีตยังสามารถบ่งบอกถึงจังหวัดที่รถคันนั้นจดทะเบียนได้อีกด้วย นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงตัวอักษรที่ห้ามใช้ก็เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนรถ

วิธีเช็กทะเบียนรถยนต์ง่ายนิดเดียว! รู้ผลทันใจ ทำตามนี้เลย

เพิ่งรู้เหมือนกันใช่ไหมคะว่าเราสามารถเช็กทะเบียนรถเพื่อดูว่าใครเป็นเจ้าของได้ด้วย วิธีการก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดค่ะ ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้เลย:

1. เตรียมเอกสารหลักฐาน (ขึ้นอยู่กับกรณีที่ต้องการตรวจสอบ):

  • กรณีทั่วไป (ต้องการทราบข้อมูลรถ):
    • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอตรวจสอบ
    • สำเนาทะเบียนรถ (ถ้ามี)
    • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทน) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
  • กรณีเกิดอุบัติเหตุ/ถูกชนแล้วหนี:
    • บันทึกประจำวันจากสถานีตำรวจ
    • หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาพถ่าย/วิดีโอเหตุการณ์, เลขทะเบียนรถคู่กรณี
  • กรณีนิติบุคคล:
    • หนังสือรับรองนิติบุคคล (ฉบับจริงและสำเนา)
    • หนังสือมอบอำนาจจากนิติบุคคล (ถ้ามี) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

2. ยื่นคำร้องขอตรวจสอบ:

  • ติดต่อโดยตรง:
    • กรมการขนส่งทางบก (สำนักงานใหญ่): สำหรับรถที่จดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร
    • สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด: สำหรับรถที่จดทะเบียนในต่างจังหวัด (ยื่นที่สำนักงานขนส่งที่รถคันนั้นจดทะเบียน)
  • เอกสารที่ต้องยื่น:
    • แบบคำขอตรวจสอบข้อมูลทะเบียนรถ (ติดต่อขอรับที่สำนักงานขนส่ง)
    • เอกสารหลักฐานตามข้อ 1

3. ดำเนินการและชำระค่าธรรมเนียม:

  • เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารและดำเนินการตามคำร้อง
  • ชำระค่าธรรมเนียม (มีค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบ โปรดสอบถามเจ้าหน้าที่)
  • รับสำเนาข้อมูลทะเบียนรถ

สิ่งที่ควรทราบ:

  • การตรวจสอบออนไลน์: ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกยังไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปตรวจสอบข้อมูลเจ้าของรถยนต์ทางออนไลน์โดยตรง เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
  • เหตุผลในการขอตรวจสอบ: การยื่นคำร้องควรมีเหตุผลที่สมควรและเกี่ยวข้อง เช่น การซื้อขายรถมือสอง การเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น
  • ระยะเวลาดำเนินการ: โดยทั่วไปการดำเนินการจะแล้วเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลารอและกรณีระบบขัดข้อง)

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่:

  • สายด่วนกรมการขนส่งทางบก: 1584
  • สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 (จตุจักร): 0-2271-8888
  • สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด: หมายเลขโทรศัพท์ของแต่ละสำนักงานขนส่ง

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เจาะลึก 'หนวดยาง': กลไกการทำงานเบื้องหลังความปลอดภัย และสัญญาณเตือนที่ถูกมองข้าม

"ทรีดแวร์อินดิเคเตอร์" (Tread Wear Indicator - TWI) หรือบางครั้งก็เรียกว่า "สะพานยาง" ที่อยู่ในร่องดอกยางใช่ไหมคะ?

เจ้า "หนวดยาง" เล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม หรือเป็นส่วนเกินจากการผลิตนะคะ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่ค่ะ หน้าที่หลักของมันคือ เป็นตัวบ่งชี้ระดับความลึกของดอกยางที่เหลืออยู่

ลองนึกภาพตามนะคะ เมื่อยางรถยนต์ถูกใช้งานไปเรื่อยๆ ดอกยางก็จะค่อยๆ สึกหรอลง เมื่อดอกยางสึกถึงระดับเดียวกับ TWI นั่นหมายความว่า ดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นผิวที่เปียก การรีดน้ำออกจากหน้ายางจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งอันตรายมากๆ ค่ะ

ดังนั้น "หนวดยาง" เหล่านี้จึงเป็นเหมือน สัญญาณเตือน ให้ผู้ขับขี่ทราบว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางรถยนต์แล้ว เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่อย่างต่อเนื่องค่ะ

กุญแจรถหาย เคลมประกันได้ไหม? รู้ก่อนเสียเงินทำใหม่

โดยทั่วไปแล้ว การเคลมประกันรถยนต์กรณีที่ กุญแจรถหาย นั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณทำไว้ค่ะ ประกันรถยนต์ชั้น 1: โดยส่วนใหญ่ จะคุ้มคร...